วันพุธที่ 23 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

งานชิ้นที่ 3

บล็อกคืออะไร ?

บล็อก (อังกฤษ: blog) เป็นคำรวมมาจากคำว่า เว็บล็อก (อังกฤษ: weblog) เป็นรูปแบบเว็บไซต์ประเภทหนึ่ง ซึ่งถูกเขียนขึ้นในลำดับที่เรียงตามเวลาในการเขียน ซึ่งจะแสดงข้อมูลที่เขียนล่าสุดไว้แรกสุด บล็อกโดยปกติจะประกอบด้วย ข้อความ ภาพ ลิงก์ ซึ่งบางครั้งจะรวมสื่อต่างๆ ไม่ว่า เพลง หรือวิดีโอในหลายรูปแบบได้ จุดที่แตกต่างของบล็อกกับเว็บไซต์โดยปกติคือ บล็อกจะเปิดให้ผู้เข้ามาอ่านข้อมูล สามารถแสดงความคิดเห็นต่อท้ายข้อความที่เจ้าของบล็อกเป็นคนเขียน ซึ่งทำให้ผู้เขียนสามารถได้ผลตอบกลับโดยทันที คำว่า "บล็อก" ยังใช้เป็นคำกริยาได้ซึ่งหมายถึง การเขียนบล็อก และนอกจากนี้ผู้ที่เขียนบล็อกเป็นอาชีพก็จะถูกเรียกว่า "บล็อกเกอร์"
บล็อกเป็นเว็บไซต์ที่มีเนื้อหาหลากหลายขึ้นอยู่กับเจ้าของบล็อก โดยสามารถใช้เป็นเครื่องมือสื่อสาร การประกาศข่าวสาร การแสดงความคิดเห็น การเผยแพร่ผลงาน ในหลายด้านไม่ว่า อาหาร การเมือง เทคโนโลยี หรือข่าวปัจจุบัน นอกจากนี้บล็อกที่ถูกเขียนเฉพาะเรื่องส่วนตัวหรือจะเรียกว่าไดอารีออนไลน์ ซึ่งไดอารีออนไลน์นี่เองเป็นจุดเริ่มต้นของการใช้บล็อกในปัจจุบัน นอกจากนี้ตามบริษัทเอกชนหลายแห่งได้มีการจัดทำบล็อกของทางบริษัทขึ้น เพื่อเสนอแนวความเห็นใหม่ใหักับลูกค้า โดยมีการเขียนบล็อกออกมาในลักษณะเดียวกับข่าวสั้น และได้รับการตอบรับจากทางลูกค้าที่แสดงความเห็นตอบกลับเข้าไป เพื่อพัฒนาผลิตภัณฑ์


ความนิยม
บล็อกได้เริ่มมีบทบาทมากขึ้นในปัจจุบันในวงการสื่อมวลชนในหลายประเทศ เนื่องจากระบบแก้ไขที่เรียบง่าย และสามารถตีพิมพ์เรื่องราวได้โดยไม่ต้องใช้ความรู้ในการเขียนเว็บไซต์ โดยนอกเหนือจากที่ผู้เขียนข่าวส่งผลงานให้กับทางสื่อแล้ว ยังได้มาเขียนข่าวในอีกช่องทางหนึ่งในการเผยแพร่ข้อมูล หรือแนวความคิด โดยการเขียนบล็อกสามารถเผยแพร่ข้อมูลสู่ประชาชนได้รวดเร็วและเสียค่าใช้จ่ายน้อยกว่า สื่อในด้านอื่น ข่าวที่นิยมในการเขียนบล็อกต่อสื่อมวลชน ส่วนใหญ่จะเป็นในลักษณะเรื่องซุบซิบวงการดารา ข่าวการเคลื่อนไหวทางการเมือง เป็นต้น
จากความนิยมที่มากขึ้น ทำให้หลายเว็บไซต์เปิดให้มีส่วนการใช้งานบล็อกเพิ่มขึ้นมาในเว็บของตนเอง เพื่อเรียกให้มีการเข้าสู่เว็บไซต์มากขึ้นทั้งผู้เขียนและผู้อ่าน


การใช้งานบล็อก
ผู้ใช้งานบล็อกจะแก้ไขและบริหารบล็อกผ่านทางเว็บเบราว์เซอร์เหมือนการใช้งานและอ่านเว็บไซต์ทั่วไป โดยจะมีรูปแบบบริหารบล็อกที่แตกต่างกัน เช่นบางระบบที่มีบรรณาธิการของบล็อก ผู้เขียนหลายคนจะส่งเรื่องเข้าทางบล็อก และจะต้องรอให้บรรณาธิการอนุมัติให้บล็อกเผยแพร่ก่อน บล็อกถึงจะแสดงผลในเว็บไซต์นั้นได้ ซึ่งจะแตกต่างจากบล็อกส่วนตัวที่จะให้แสดงผลได้ทันที
ผู้เขียนบล็อกในปัจจุบันจะใช้งานบล็อกในรูปแบบใดรูปแบบหนึ่งไม่ว่า ติดตั้งซอฟต์แวร์ของตัวเอง หรือใช้งานบล็อกผ่านทางเว็บไซต์ที่ให้บริการบล็อก
สำหรับผู้อ่านบล็อกจะใช้งานได้ในลักษณะเหมือนอ่านเว็บไซต์ทั่วไป และสามารถแสดงความเห็นได้ในส่วนท้ายของแต่ละบล็อกโดยอาจจะต้องผ่านการลงทะเบียนในบางบล็อก นอกจากนี้ผู้อ่านบล็อกสามารถอ่านบล็อกได้ผ่านระบบฟีด ซึ่งมีให้บริการในบล็อกทั่วไป ทำให้ผู้ใช้สามารถอ่านบล็อกได้โดยตรง ผ่านโปรแกรมตัวอื่นโดยไม่จำเป็นต้องเข้ามาสู่หน้าบล็อกนั้น


บล็อกซอฟต์แวร์
บล็อกซอฟต์แวร์ หรือ บล็อกแวร์ เป็นซอฟต์แวร์ที่ใช้ในอินเทอร์เน็ต ในลักษณะของระบบจัดการเนื้อหาเว็บ ที่ผู้พัฒนาซอฟต์แวร์และผู้เขียนหรือดูแลบล็อกจะแยกจากกันต่างหาก ส่งผลให้ผู้เขียนบล็อกสามารถใช้งานได้ทันทีโดยไม่ต้องมีพื้นฐานความรู้ในด้านเอชทีเอ็มแอล หรือการทำเว็บไซต์แต่อย่างใด ทำให้ผู้เขียนบล็อกสามารถใช้เวลาส่วนใหญ่ในการ บริหารจัดการ เพิ่มเติม ข้อมูลและสารสนเทศแทนได้ นอกจากนี้บล็อกซอฟต์แวร์จะสนับสนุน ระบบ WYSIWYG ซึ่งทำให้ง่ายต่อการเขียน และอาจเพิ่มเติมการมีเทมเพลตในหลายแบบให้เลือกใช้
ซอฟต์แวร์ส่วนใหญ่สามารถดาวน์โหลดและติดตั้งได้ทันทีโดยผู้ใช้ ซึ่งซอฟต์แวร์บางส่วนเป็นซอฟต์แวร์โอเพนซอร์ส ซึ่งเป็นซอฟต์แวร์ที่ไม่สงวนลิขสิทธิ์ ซึ่งผู้พัฒนาสามารถนำมาปรับแก้ เป็นของตนเอง ติดตั้งไว้ใช้เป็นบล็อกส่วนตัว หรือเผยแพร่ให้คนอื่นมาใช้งานได้ ส่วนซอฟต์แวร์ลิขสิทธิ์นั้น จะมีทั้งในรูปแบบที่ให้ใช้งานแบบเสียค่าใช้จ่ายหรือให้ใช้งานฟรี


บล็อกซอฟต์แวร์ที่เป็นที่รู้จัก
รายชื่อบล็อกซอฟต์แวร์ที่เป็นที่นิยมพร้อมทั้งชื่อซอฟต์แวร์ที่ใช้พัฒนาในวงเล็บ

ผู้ให้บริการบล็อกที่เป็นที่รู้จัก
รายชื่อผู้ให้บริการบล็อกที่มีชื่อเสียง
ผู้ให้บริการบล็อกในประเทศไทยที่เป็นที่รู้จัก
นอกจากนี้ทางเว็บที่นิยมของไทยอย่าง สนุก.คอม, กระปุก.คอม หรือผู้จัดการออนไลน์ ก็ได้มีการเปิดให้บริการบล็อก


อ้างอิง :  http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%9A%E0%B8%A5%E0%B9%87%E0%B8%AD%E0%B8%81

วันเสาร์ที่ 12 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

งานชิ้นที่ 2

ผิวหนังของเราถือเป็นดวงตาคู่ที่สอง เพราะ ในผิวหนังมีอวัยวะที่ทำหน้าที่เป็นตา
ในการรับสัมผัสอยู่ โดยอวัยวะนี้จะทำหน้าที่เป็นตัวเซ็นเซอร์แสง ดังนั้น
แม้ว่าตาจะปิดอยู่ เราก็สามารถรู้สึกถึงสีได้จากความยาวคลื่นของสี

สีที่มีความยาวคลื่นสูงที่สุด คือ สีแดง จึงกล่าวกันว่า สีแดงสามารถกระตุ้น
การทำงานภายในร่ายกาย ทำให้ความดันโลหิต อัตราการเต้นของหัวใจ
และอุณหภูมิของร่างกายสูงขึ้น

ในกลุ่มผู้สูงอายุที่ใส่กางเกงชั้นในสีแดงตัวใหญ่ หรือผ้าคาดเอวสีแดงปิดสะดือ
จะช่วยให้มีสุขภาพดี เนื่องจากบริเวณใต้สะดือลงไปประมาณ 5 ซ.ม.
มีจุดที่เรียกว่า Tanden (จุดตันเถียน) ซึ่งทางการแพทย์ตะวันออกถือเป็น
จุดสำคัญที่เป็นจุดกำเนิดของ "จิตวิญญาณ" ซึ่งเป็นพลังแห่งชีวิต

เมื่อกระตุ้นบริเวณดังกล่าว ด้วยการห่มผ้าสีแดง จะทำให้การไหลเวียนของเลือดดีขึ้น
ร่างกายอบอุ่น ลดอาการหนาวสั่น ลดอาการปวดหลัง-ปวดไหล่ ช่วยฟื้นฟู
ความเหน็ดเหนื่อย กระฉับกระเฉงขึ้นทั้งร่างกายและจิตใจ คลายเครียด
ช่วยให้อาการประจำเดือนมาไม่ปกติ หรือปวดประจำเดือนดีขึ้นที่มาภาพ : http://office.microsoft.com
รวมถึงมีพลังเพิ่มขึ้นด้วย

แต่มีข้อควรระวัง คือ เมื่อใส่กางเกงในสีแดงแล้ว บางคน
จะรู้สึกตื่นตัวจนนอนไม่หลับ หรือมีความดันโลหิตเพิ่มขึ้น
ดังนั้น ผู้ที่มีความดันโลหิตสูงจึงควรระมัดระวัง


เกร็ดความรู้เกี่ยวกับคอมพิวเตอร์
ขอนำเสนอสาระที่ผู้อ่านสามารถนำไปใช้ได้จริง  ดังนี้
windows7_logo

สิ่งที่ต้องเตรียม
1. แผ่น windows 7 ตาม Edition ของท่าน
2. คอมพิวเตอร์ PC / Notebook
3. USB ถ้าหากต้องการ Load driver บางตัวสำหรับ Harddisk
วิธีการลงดังนี้ครับ
1. ใส่แผ่น Windows7 ลงใน CD-Rom จากนั้นทำการ Boot Computer
เมื่อเห็นข้อความดังกล่าวดังรูป ให้กด Enter 1ครั้งเพื่อเป็นการเข้าสู้หน้าต่างของการลง Windows7
** ในการปรับให้ให้ Bios นั้น Boots จากแผ่้นเป็นอันดับแรก
-โดยส่วนมาก PC จะกด del / . เข้าไปทำการเซ็ตค่า
- Notebook ส่วนมากจะกด F2 หรือให้สังเกตุดีๆตอนที่คอมพิวเตอร์Boot มันจะบอกอยู่
-แต่ถ้าเราต้องการกดใช้ Boot menu เลย ทั้ง Notebook / pc ส่วนมากจะกด F12 , F10 ครับ
13
2. ให้เราทำการเลือกดังภาพ
Language to install : English
Time : Thai(Thailand)
Keyboard : US ให้เลือกเป็น US ก่อน
Windows7_1
3. จากนั้นให้ทำการกด Install now
Windows7_2
4. ให้เราเลือก OS ที่เราต้องการลง โดยจะ มีทั้ง x86(32bit) , x64(64bit) แนะนำว่าผู้ใช้ทั่วไปควรลง x86 และกด Next
Windows7_3
5. ยอมรับเงื่อนไข Lincene ของ windows 7
- ให้เราทำการ ติ๊ก(√) I accept the license > Next
Windows7_4
6. เมื่อผู้อ่านลง Windows 7 ใหม่หรือลงครั้งแรกจากการซื้อคอมพิวเตอร์ ก็ให้เลือก Custom(advanced)
Windows7_5
7. ขั้นตอนนี้เราเราเลือก Drive ที่จะลง OS Windows7 ส่วนมาก จะลงใน Disk 0 นะครับ ก็คือ Drive C: ของ windows เรานั้นเอง อย่าลง ผิด Drive นะครับดูดีดี
Windows7_6
************
สำคัญ แต่สำหรับคนที่เคยลง windows 7 แล้ว หรือลง windows ตัวอื่นแล้วจะมาลง Windows 7 ใหม่ให้ทำขั้นตอนนี้ด้วยนะครับ
ให้ไปที่ Drive options (advanced)
windows7_15
จากนั้นให้เราเลือก Drive ที่เราเคยลง OS มาก่อน จากนั้นก็เลือก format ก่อนครับ จากนั้นก็เลือก Drive ที่เราจะลง OS จากนั้นก็กด Next
windows7_16

8. ขั้นตอนนี้ให้เรารอเวลาใน Install windows 7
Windows7_7
9. หลังจากนั้นให้เราใส่ชื่อ ผู้ใช้ อาทิเช่น ITITHAI จากนั้นก็กด Next
Windows7_8
10. Windows จะให้เราใส่ Password ในการ Login แต่ถ้าเราไม่ต้องการใส่ก็ให้ข้ามขั้นตอนนี้ไปเลยครับ
Windows7_9
11. ขั้นตอนนี้ให้เราใส่ Product key ซึ่ง Product key จะอยู่ที่กล่อง ที่เราทำการซื้อ Windows 7 มาครับ
Windows7_10
12. ขั้นตอนนี้ให้เราเลือก Use recommended Setting เพื่อเป็นการ Update Patch windows ต่างๆ
Windows7_11
13. ให้เราเลือกเวลา Time Zone : UTC+07.00 Bangkok,Hanoi,Jakarta
windows7_12
14. ในหัวข้อนี้ถ้าเรายังไม่แน่ใจ ให้เราเลือก Public network (ตามที่Microsoft แนะนำ)
Windows7_14

15. จากนั้นเราก็จะได้ Window7 ที่หน้าตาที่สวยงาม ดังภาพ ครับ โชคดีในการลงนะครับ
windows7-13
16. ก็เป็นเสร็จสิ้นในการลง Windows 7 แล้ว เป็นไงละครับ
1. ลบไฟล์ขยะหลังจากเล่นอินเตอร์เน็ตช่วยลดปัญหาไวรัสได้
     เวลาเราเข้าไปเว็บไซต์ต่าง ๆ  โปรแกรม IE  ก็จะทำการ Download  ข้อมูลเข้ามาเก็บไว้ในเครื่องของเราก่อน  จากนั้นถ้าเราเลิกเล่น  ไฟล์เหล่านี้ก็จะค้างอยู่ในเครื่องของเรา นอกจากปัญหาไฟล์ในเครื่องอาจจะเพิ่มมากขึ้น  ทำให้เนื้อที่ใน Haddisk ของเราไม่เพียงพอแล้ว  อาจจะมีไวรัสแอบแฝงมาในเครื่องของเราได้ด้วย  ดังนั้นวิธีการจัดการอย่างหนึ่งง่าย ๆ ก็คือ  กำหนดให้  IE  ลบไฟล์ขยะเหล่านี้อัตโนมัติทุกครั้งที่มีการปิดโปรแกรม  สำหรับขั้นตอนก็สั้น ๆ ครับ  ทำตามขั้นตอนดังนี้ได้เลย
 วิธีกำหนดให้ลบไฟล์ขยะจากอินเตอร์เน็ตแบบอัตโนมัติ
     1.1 คลิกเมนู  Tool
     1.2 เลือกคำสั่ง  Internet  Options
     1.3 คลิกเลือกแท็บ  Advanced
     1.4  เลื่อนลงมาที่หัวข้อ  Security 
     1.5  จากนั้น คลิกหัวข้อ Empty Temporaly Internet Files Folder when browser is closed


 
 

    
 1.6  กดปุ่ม  Apply  อีกครั้งเพื่อยืนยัน
     1.7  เสร็จเรียบร้อยแล้วครับ

              ข้อมูลเพิ่มเติม :  ส่วนดีของการที่โปรแกรม  IE  มีการ download  ไฟล์มาเก็บไว้ในเครื่องของเราทำให้การใช้งานครั้งต่อไป  สามารถเปิดดูรายละเอียดในเว็บนั้น ๆ ได้เร็วขึ้น  เนื่องจากไม่ต้องเสียเวลาในการ download  ซ้ำอีก  อย่างไรก็ตาม  ควรเปรียบเทียบผลดี  ผลเสียกันเอาเองน่ะครับ  แต่ถ้าให้ผมฟันธงเลย ขอตอบว่าลบไปเลยดีกว่าครับ
http://www.thaigaming.com/e-book-shelf/23822.htm

ก า ร ติ ด ตั้ ง W i n d o w s 7

วันเสาร์ที่ 5 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

งานชิ้นที่ 1 ☻

อุปกรณ์ในการเขียนแบบ

อุปกรณ์ในการเขียนแบบ
                ในงานเขียนแบบทั่วไป แบบงานจะสำเร็จสมบูรณ์ได้มาตรฐาน นอกจากจะต้องใช้ทักษะของผู้ปฏิบัติงานแล้ว เครื่องมือและอุปกรณ์ที่ใช้ในการเขียนแบบ ก็มีความสำคัญอย่างยิ่งเพราะ เครื่องมือมีส่วนที่จะช่วยให้งานเขียนแบบมีคุณภาพได้มาตรฐาน เครื่องมือและอุปกรณ์ที่ใช้ในการเขียนแบบพื้นฐานประกอบด้วย

1. โต๊ะเขียนแบบและกระดานเขียนแบบ
การเขียนแบบทางอุตสาหกรรมขนาดเล็กจนถึงขนาดใหญ่จะใช้โต๊ะเขียนแบบซึ่งมีโครงสร้างแตกต่างกันไป แล้วแต่บริษัทผู้ออกแบบ แต่โดยทั่วไปจะมีความสูงเป็นมาตรฐานเดียวกัน หรือบางชนิดอาจปรับความสูงให้เหมาะสมกับการใช้งานได้ พื้นโต๊ะจะเรียบเป็นสี่เหลี่ยมผืนผ้า ขอบด้านข้างตรงและได้ฉาก มีขนาดต่างกัน ที่นิยมใช้มากที่สุดคือ 500 x 600 มม. ดังรูป

 


2. อุปกรณ์ที่ใช้ในการขีดเส้น
อุปกรณ์ที่ใช้ในการขีดเส้น ได้แก่ ไม้ที บรรทัดสามเหลี่ยม และบรรทัดสเกล

2.1  ไม้ที  เป็นเครื่องมือที่สำคัญในการเขียนแบบ ไม้ที มีส่วนประกอบ ส่วน คือ ส่วนหัว และ ส่วนใบ ทำจากไม้เนื้อแข็ง หรือ พลาสติกใส ทั้ง 2ส่วน จะยึดตั้งฉากกัน ไม้ที ใช้สำหรับขีดเส้นในแนวนอน และใช้ประกอบกับฉากสามเหลี่ยม ขีดเส้นในแนวตั้งฉาก และขีดเส้นเอียงทำมุมต่างๆ ดังรูป


2. อุปกรณ์ที่ใช้ในการขีดเส้น
อุปกรณ์ที่ใช้ในการขีดเส้น ได้แก่ ไม้ที บรรทัดสามเหลี่ยม และบรรทัดสเกล

2.1  ไม้ที  เป็นเครื่องมือที่สำคัญในการเขียนแบบ ไม้ที มีส่วนประกอบ ส่วน คือ ส่วนหัว และ ส่วนใบ ทำจากไม้เนื้อแข็ง หรือ พลาสติกใส ทั้ง 2ส่วน จะยึดตั้งฉากกัน ไม้ที ใช้สำหรับขีดเส้นในแนวนอน และใช้ประกอบกับฉากสามเหลี่ยม ขีดเส้นในแนวตั้งฉาก และขีดเส้นเอียงทำมุมต่างๆ ดังรูป


2.2 บรรทัดสามเหลี่ยม  โดยทั่วไปทำจากพลาสติกใส เพื่อจะได้มองเห็นส่วนอื่นๆ ของแบบได้อย่างชัดเจน บรรทัดสามเหลี่ยมใช้สำหรับขีดเส้นดิ่งและเส้นเอนทำมุมต่างๆ ปกติจะใช้คู่กับ ไม้ที มี แบบ คือ แบบตายตัว ซึ่งมีค่ามุม 45-90-45 องศา กับค่ามุม 30-90-60 องศา และแบบปรับมุมต่างๆ ได้  ดังรูป
2.3 บรรทัดมาตราส่วน  ใช้วัดขนาด มีความยาวต่างกัน ตั้งแต่ 150, 300, 400, และ 600 มิลลิเมตร มีมาตราส่วนต่างๆ เพื่อใช้เขียนรูปได้หลายขนาด คือ
มาตราส่วนขนาดเท่าของจริง 1 : 1
      - มาตราส่วนย่อ 1 : 2, 1 : 5, 1 : 10, 1 : 100, 1 : 1000 เป็นต้น
      - มาตราส่วนขยาย 2 : 1, 5 : 1, 10 : 1, 100 : 1, 1000 : 1 เป็นต้น
มาตราส่วนเท่าของจริงมาตราส่วนย่อหรือมาตราส่านขยาย จะนำไปใช้งานในแต่ละประเภทไม่เหมือนกัน ขึ้นอยู่กับลักษณะงาน  ดังรูป 

3. อุปกรณ์เขียนส่วนโค้ง
อุปกรณ์ที่ใช้ในการเขียนส่วนโค้งมีหลายแบบขึ้นอยู่กับลักษณะงานและการนำไปใช้ เช่น วงเวียน แบ่งออกเป็น แบบ คือ วงเวียนที่ใช้เขียนส่วนโค้ง และวงเวียนที่ใช้ถ่ายขนาด เป็นต้น
3.1 วงเวียน เป็นอุปกรณ์สำหรับเขียนวงกลม หรือส่วนโค้ง วงเวียนมีหลายแบบ ควรเลือกใช้ให้เหมาะสมกับลักษณะงาน  ดังรูป

3.2 วงเวียนถ่ายขนาด เป็นวงเวียนที่มีปลายแหลม ข้าง วงเวียนชนิดนี้ใช้สำหรับถ่ายขนาด ที่วัดขนาดจากฟุตเหล็ก หรือฉากสามเหลี่ยม แล้วนำไปถ่ายลงบนแบบทำให้สามารถแบ่งเส้นตรง แบ่งวงกลม ให้มีขนาดเท่าๆ กันได้สะดวกและรวดเร็วง่ายต่อการเขียนแบบ  ดังรูป
3.3 บรรทัดเขียนส่วนโค้ง  (Curves)  เป็นอุปกรณ์ที่ช่วยในการเขียนส่วนโค้งชนิดหนึ่ง การใช้บรรทัดส่วนโค้งจะต้องใช้ส่วนโค้งของบรรทัดสัมผัสจุด อย่างน้อย จุด เพื่อให้ได้ส่วนโค้งที่ดี มีความต่อเนื่อง ซึ่งต่างกับการใช้วงเวียนที่มีระยะรัศมีเท่ากันทุกจุดของเส้นโค้งนั้นๆ แผ่นโค้งนี้ให้ความสะดวกในการทำงานสูง ซึ่งผู้ใช้เองก็ต้องระมัดระวังในการใช้งานให้ดี หมุนปรับให้ได้ตำแหน่ง ก่อนที่จะทำการลากเส้นโค้งนั้น แผ่นเขียนโค้งและการเขียนโค้งโดยใช้แผ่นเขียนโค้งในรูปแบบต่างๆ  ดังรูป

กระดานเขียนแบบ ส่วนมากใช้สำหรับงานสนาม แต่ก็ใช้ในโรงเรียนบ้างเหมือนกัน ในกรณีที่ไม่มีโต๊ะเขียนแบบ  ดังรูป



4. กระดาษเขียนแบบ
กระดาษเขียนแบบที่นิยมใช้ในปัจจุบัน แบ่งออกเป็น ระบบ คือ ระบบนิ้ว และ ระบบมิลลิเมตร ต่อมาได้ปรับปรุงให้เป็นระบบสากล โดยใช้ระบบ ISO (International System Organization) ซึ่งยอมรับทั้งระบบอเมริกันและยุโรป นอกจากนั้น ประเทศไทยยังได้ผลิตมาตรฐานเป็น (มอก.) โดการเขียนแบบทั่วไปทางเครื่องกลซึ่งมีลักษณะเช่นเดียวกับมาตรฐาน ISO ซึ่งมาตรฐานของกระดาษในระบบต่างๆ ได้แสดงไว้ใน (ตารางที่ 1)


ตารางที่ ขนาดกระดาษเขียนแบบ

เมตริก (มิลลิเมตร)
อังกฤษ (นิ้ว)
ขนาด
กว้าง ยาว
ขนาด
กว้าง ยาว
A0
814 x 1,189
E
34 x 34
A1
594 x 841
D
22 x 34
A2
420 x 594
C
17 x 22
A3
297 x 420
B
11 x 17
A4
210 x 297
A
8.50 x 11
A5
148 x 210
-
5.83 x 8.27
A6
105 x 148
-
4.13 x 5.83
กระดาษเขียนแบบขนาด A0 ขนาด 841 x 1189 ม.ม. สามารถแบ่งได้เป็นขนาด A1 จำนวน แผ่น และถ้านำกระดาษ A1 มาแบ่งจะได้กระดาษ A2จำนวน แผ่น  ดังนั้น สามารถแบ่งกระดาษได้จนถึง A6  ดังรูป

ตารางรายการ เป็นตารางบอกรายละเอียดของชิ้นงานแต่ละชิ้นที่ประกอบกันหลายชิ้น เช่น จำนวนที่ใช้ ชื่อชิ้นงาน ขนาดวัสดุ ประเภทของวัสดุที่ใช้ หมายเลขแบบ ผู้เขียน และผู้ตรวจ สามารถจำแนกได้ตามลักษณะการใช้งานในสถานศึกษา หรือสถานประกอบการ   ดังรูป
6. ปากกาเขียนแบบ
ปากกาเขียนแบบในปัจจุบันนิยมใช้ปากกาเขียนแบบหมึกซึม ขนาดความโตของปากกาเขียนแบบจะมีขนาดเท่าขนาดของเส้นมาตรฐานสากลที่ใช้ในงานเขียนแบบ   ดังรูป

7. อุปกรณ์ทำความสะอาด
แบบงานที่มีคุณภาพนั้น นอกจากเขียนได้ถูกต้อง สมบูรณ์ ได้มาตรฐานแล้วนั้น แบบงานจะต้องสะอาด ดังนั้นอุปกรณ์ทำความสะอาดจึงมีความจำเป็นมาก เช่น
7.1 แปรงปัด เป็นแปรงขนอ่อนใช้สำหรับปัดฝุ่นบนกระดาษเขียนแบบ และปัดเศษยางลบ ดังรูป

7.2 ยางลบ ใช้สำหรับลบงาน มีลักษณะเป็นยางอ่อนซึ่งจะไม่ทำให้กระดาษเป็นขุยหรือเป็นรอย   ดังรูป
7.3 แผ่นกันลบ ทำจากโลหะบางเบา เจาะรูไว้หลายลักษณะ ใช้กันลบตรงบริเวณที่ขีดเส้นผิดพลาด  ดังรูป
  

ประเภทการเขียนแบบ

งานเขียนแบบ แบ่งออกได้เป็น ๒ ประเภทใหญ่ๆ คือ
     
 ๑. การเขียนแบบทางวิศวกรรม ( Engineering Drawing ) นำเอาไปใช้ในงานเครื่องจักรกลมากกว่าอย่างอื่น การเขียนแบบชนิดนี้แยกออกได้ดังนี้
            ๑.๑ การเขียนแบบเครื่องกล
            ๑.๒ การเขียนแบบงานไฟฟ้าและอุปกรณ์ไฟฟ้า
            ๑.๓ การเขียนแบบเครื่องยนต์
            ๑.๔ การเขียนแบบงานแผนที่และช่างสำรวจ
            ๑.๕ การเขียนแบบงานช่างกลและโลหะแผ่น

     ๒. การเขียนแบบทางสถาปัตยกรรม ( Architectural Drawing ) เป็นการเขียนแบบทางด้านก่อสร้าง แยกงานเขียนแบบชนิดนี้ออกได้ดังต่อไปนี้
๒.๑ การเขียนแบบโครงสร้าง
๒.๒ การเขียนแบบสัดส่วนของรูปต่างๆ
 ๒.๓ การเขียนแบบภาพหวัด


วิธีการเขียนภาพ  2  มิติ


ภาพ  มิติ มีความกว้างกับความยาวไม่มีความหนาเกิดจากเส้นรอบนอกที่แสดงพื้นที่ขอบเขตของรูปต่าง ๆ เช่น รูปวงกลม  รูปสามเหลี่ยม หรือ รูปอิสระที่แสดงเนื้อที่ของผิวที่เป็นระนาบมากกว่าแสดงปริมาตรหรือมวล


http://www.prc.ac.th/newart/webart/element04.html


วิธีการเขียนภาพ 3 มิติ

ภาพสามมิติหมายถึง การเขียนภาพโดยการนำพื้นผิวแต่ละด้านของชิ้นงานมาเขียนประกอบกันเป็นรูปเดียว ทำให้สามารถมองเห็นลักษณะรูปร่าง พื้นผิว ได้ทั้งความกว้าง ความยาว และความหนาของชิ้นงาน ทำให้ภาพสามมิติมีลักษณะคล้ายกับการมองชิ้นงานจริง ภาพสามมิติที่เขียนในงานเขียนแบบมีหลายประเภท แต่ละประเภทก็มีความแตกต่างกันในการวางมุมการเขียน และขนาดของชิ้นงานจริง กับขนาดชิ้นงานในการเขียนแบบซึ่งผู้เขียนแบบต้องศึกษาลักษณะของภาพสามมิติแต่ละประเภทต่างๆ ให้เข้าใจ เพื่อสามารถปฏิบัติการเขียนแบบได้อย่างถูกต้อง

ประเภทของภาพสามมิติ
2.2 ภาพสามมิติแบบ DIMETRIC เป็นภาพสามมิติที่มีลักษณะคล้ายกับภาพถ่ายและง่ายต่อการอ่านแบบ แต่ไม่ค่อยนิยมในการเขียนแบบเพราะเป็นภาพที่เขียนได้ยาก เนื่องจากมุมที่ใช้เขียน เอียง องศา และ 42 องศา และขนาดความหนาของภาพที่เขียนจะลดขนาดลงครึ่งหนึ่งของความหนาจริง  ดังรูป

2.3 ภาพสามมิติแบบ ISOMETRIC เป็นภาพสามมิติที่นิยมเขียนมาก เพราะภาพที่เขียนง่าย เนื่องจากภาพมีมุมเอียง 30 องศา ทั้งสองข้างเท่ากัน และขนาดความยาวของภาพทุกด้านจะมีขนาดเท่าขนาดงานจริง ภาพที่เขียนจะมีขนาดใหญ่มากทำให้เปลืองเนื้อที่กระดาษ   ดังรูป

2.4 ภาพสามมิติแบบOBQIUE เป็นภาพสามมิติที่นิยมเขียนมาก สำหรับงานที่มีรูปร่างเป็นส่วนโค้ง หรือรูกลมเพราะสามารถเขียนได้ง่ายและรวดเร็วเนื่องจากภาพ OBQIUE จะวางภาพด้านหนึ่งอยู่ในแนวระดับ เอียงทำมุมเพียงด้านเดียว โดยเขียนเป็นมุม 45 องศา สามารถเขียนเอียงได้ทั้งด้านซ้ายและขวาความหนาของงานด้านเอียงขนาดลดลงครึ่งหนึ่ง ภาพ OBQIUE มี แบบ คือแบบคาวาเลียร์ (CAVALIER) และแบบคาบิเนต (CABINET)   ดังรูป


2.5  ภาพสามมิติแบบPERSPECTIVE  หรือภาพทัศนียภาพ  เป็นภาพสามมิติที่มีมุมในลักษณะการมองไกล โดยจะเขียนภาพเข้าสู่จุดรวมของสายตา การเขียนภาพสามมิติชนิดนี้มีอยู่ด้วยกันหลายชนิด   ดังรูป

3. การเขียนภาพสามมิติ  แกนไอโซเมตริก (ISOMETRIC AXIS) เส้น XO, YO, ZO ทำมุมระหว่างกัน 120 องศา เท่ากันทั้งสามมุม เส้นทั้งสามนี้เรียกว่า แกนไอโซเมตริก ซึ่งแกนไอโซเมตริกนี้สามารถวางได้หลายทิศทาง ขึ้นอยู่กับรูปร่างของชิ้นงานที่ต้องการแสดงรายละเอียด ดังรูป

3.1 การเขียนภาพ ISOMETRIC ทุกภาพจะเริ่มจากการเขียนเส้นร่างจากกล่องสี่เหลี่ยม โดยมีขนาดความกว้าง ความยาว และความสูง ซึ่งจะได้จากการกำหนดขนาดจากภาพฉาย จากนั้น เขียนรายละเอียดส่วนต่างๆ ของชิ้นงาน   ดังรูป

  


ลำดับขั้นตอนการเขียนภาพ ISOMETRIC
ขั้นที่ 1 ขีดเส้นร่างแกนหลักทั้งสามแกน
ขั้นที่ 2 เขียนเส้นร่างกล่องสี่เหลียม โดยใช้ขนาด ความกว้าง ยาว และความหนาของชิ้นงาน
ขั้นที่ 3 เขีนเส้นร่างรายละเอียดของภาพด้านหน้า ภาพด้านข้าง และภาพด้านบน ลงบนกล่องสี่เหลียม
ขั้นที่ 4 ขีดเส้นเต็มหนาทับขอบเส้นร่างของ ด้านหน้า ด้านข้าง และด้านบน ของกล่องสี่เหลียม ISOMETRIC


3.2 การเขียนภาพ OBLIQUE ทุกภาพจะเริ่มจากการเขียนเส้นร่างจากกล่องสี่เหลี่ยม โดยมีขนาดความยาว ความยาว และความสูง
เท่ากับขนาดของชิ้นงานจริง ซึ่งจะได้จากการบอกขนาดในภาพฉาย ลากเส้นเอียง 45 องศา จากขอบงานด้านหน้าไปยังด้านหลัง 
โดยให้มีความยาวเท่ากับครึ่งหนึ่งกับความกว้างที่กำหนดให้จากภาพฉายด้านข้าง ลากเส้นร่างเป็นรูปกล่องสี่เหลียม จากนั้น เริ่มเขียนส่วนต่างๆ 
ของชิ้นงาน ลบเส้นที่ไม่ใช้ออก และลงเส้นหนักที่รูปงาน   ดังรูป

วันพฤหัสบดีที่ 3 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554


งานชิ้นที่ 1

 อุปกรณ์ในการเขียนแบบ

อุปกรณ์ในการเขียนแบบ
                ในงานเขียนแบบทั่วไป แบบงานจะสำเร็จสมบูรณ์ได้มาตรฐาน นอกจากจะต้องใช้ทักษะของผู้ปฏิบัติงานแล้ว เครื่องมือและอุปกรณ์ที่ใช้ในการเขียนแบบ ก็มีความสำคัญอย่างยิ่งเพราะ เครื่องมือมีส่วนที่จะช่วยให้งานเขียนแบบมีคุณภาพได้มาตรฐาน เครื่องมือและอุปกรณ์ที่ใช้ในการเขียนแบบพื้นฐานประกอบด้วย

1. โต๊ะเขียนแบบและกระดานเขียนแบบ
การเขียนแบบทางอุตสาหกรรมขนาดเล็กจนถึงขนาดใหญ่จะใช้โต๊ะเขียนแบบซึ่งมีโครงสร้างแตกต่างกันไป แล้วแต่บริษัทผู้ออกแบบ แต่โดยทั่วไปจะมีความสูงเป็นมาตรฐานเดียวกัน หรือบางชนิดอาจปรับความสูงให้เหมาะสมกับการใช้งานได้ พื้นโต๊ะจะเรียบเป็นสี่เหลี่ยมผืนผ้า ขอบด้านข้างตรงและได้ฉาก มีขนาดต่างกัน ที่นิยมใช้มากที่สุดคือ 500 x 600 มม. ดังรูป



กระดานเขียนแบบ ส่วนมากใช้สำหรับงานสนาม แต่ก็ใช้ในโรงเรียนบ้างเหมือนกัน ในกรณีที่ไม่มีโต๊ะเขียนแบบ  ดังรูป



2. อุปกรณ์ที่ใช้ในการขีดเส้น
อุปกรณ์ที่ใช้ในการขีดเส้น ได้แก่ ไม้ที บรรทัดสามเหลี่ยม และบรรทัดสเกล

2.1  ไม้ที  เป็นเครื่องมือที่สำคัญในการเขียนแบบ ไม้ที มีส่วนประกอบ ส่วน คือ ส่วนหัว และ ส่วนใบ ทำจากไม้เนื้อแข็ง หรือ พลาสติกใส ทั้ง 2ส่วน จะยึดตั้งฉากกัน ไม้ที ใช้สำหรับขีดเส้นในแนวนอน และใช้ประกอบกับฉากสามเหลี่ยม ขีดเส้นในแนวตั้งฉาก และขีดเส้นเอียงทำมุมต่างๆ ดังรูป




2.2 บรรทัดสามเหลี่ยม  โดยทั่วไปทำจากพลาสติกใส เพื่อจะได้มองเห็นส่วนอื่นๆ ของแบบได้อย่างชัดเจน บรรทัดสามเหลี่ยมใช้สำหรับขีดเส้นดิ่งและเส้นเอนทำมุมต่างๆ ปกติจะใช้คู่กับ ไม้ที มี แบบ คือ แบบตายตัว ซึ่งมีค่ามุม 45-90-45 องศา กับค่ามุม 30-90-60 องศา และแบบปรับมุมต่างๆ ได้  ดังรูป

2.3 บรรทัดมาตราส่วน  ใช้วัดขนาด มีความยาวต่างกัน ตั้งแต่ 150, 300, 400, และ 600 มิลลิเมตร มีมาตราส่วนต่างๆ เพื่อใช้เขียนรูปได้หลายขนาด คือ

มาตราส่วนขนาดเท่าของจริง 1 : 1
      - มาตราส่วนย่อ 1 : 2, 1 : 5, 1 : 10, 1 : 100, 1 : 1000 เป็นต้น
      - มาตราส่วนขยาย 2 : 1, 5 : 1, 10 : 1, 100 : 1, 1000 : 1 เป็นต้น
มาตราส่วนเท่าของจริงมาตราส่วนย่อหรือมาตราส่านขยาย จะนำไปใช้งานในแต่ละประเภทไม่เหมือนกัน ขึ้นอยู่กับลักษณะงาน  ดังรูป 


3. อุปกรณ์เขียนส่วนโค้ง
อุปกรณ์ที่ใช้ในการเขียนส่วนโค้งมีหลายแบบขึ้นอยู่กับลักษณะงานและการนำไปใช้ เช่น วงเวียน แบ่งออกเป็น แบบ คือ วงเวียนที่ใช้เขียนส่วนโค้ง และวงเวียนที่ใช้ถ่ายขนาด เป็นต้น
3.1 วงเวียน เป็นอุปกรณ์สำหรับเขียนวงกลม หรือส่วนโค้ง วงเวียนมีหลายแบบ ควรเลือกใช้ให้เหมาะสมกับลักษณะงาน  ดังรูป




3.2 วงเวียนถ่ายขนาด เป็นวงเวียนที่มีปลายแหลม ข้าง วงเวียนชนิดนี้ใช้สำหรับถ่ายขนาด ที่วัดขนาดจากฟุตเหล็ก หรือฉากสามเหลี่ยม แล้วนำไปถ่ายลงบนแบบทำให้สามารถแบ่งเส้นตรง แบ่งวงกลม ให้มีขนาดเท่าๆ กันได้สะดวกและรวดเร็วง่ายต่อการเขียนแบบ  ดังรูป


3.3 บรรทัดเขียนส่วนโค้ง  (Curves)  เป็นอุปกรณ์ที่ช่วยในการเขียนส่วนโค้งชนิดหนึ่ง การใช้บรรทัดส่วนโค้งจะต้องใช้ส่วนโค้งของบรรทัดสัมผัสจุด อย่างน้อย จุด เพื่อให้ได้ส่วนโค้งที่ดี มีความต่อเนื่อง ซึ่งต่างกับการใช้วงเวียนที่มีระยะรัศมีเท่ากันทุกจุดของเส้นโค้งนั้นๆ แผ่นโค้งนี้ให้ความสะดวกในการทำงานสูง ซึ่งผู้ใช้เองก็ต้องระมัดระวังในการใช้งานให้ดี หมุนปรับให้ได้ตำแหน่ง ก่อนที่จะทำการลากเส้นโค้งนั้น แผ่นเขียนโค้งและการเขียนโค้งโดยใช้แผ่นเขียนโค้งในรูปแบบต่างๆ  ดังรูป


4. กระดาษเขียนแบบ
กระดาษเขียนแบบที่นิยมใช้ในปัจจุบัน แบ่งออกเป็น ระบบ คือ ระบบนิ้ว และ ระบบมิลลิเมตร ต่อมาได้ปรับปรุงให้เป็นระบบสากล โดยใช้ระบบ ISO (International System Organization) ซึ่งยอมรับทั้งระบบอเมริกันและยุโรป นอกจากนั้น ประเทศไทยยังได้ผลิตมาตรฐานเป็น (มอก.) โดการเขียนแบบทั่วไปทางเครื่องกลซึ่งมีลักษณะเช่นเดียวกับมาตรฐาน ISO ซึ่งมาตรฐานของกระดาษในระบบต่างๆ ได้แสดงไว้ใน (ตารางที่ 1)

ตารางที่ ขนาดกระดาษเขียนแบบ

เมตริก (มิลลิเมตร)
อังกฤษ (นิ้ว)
ขนาด
กว้าง ยาว
ขนาด
กว้าง ยาว
A0
814 x 1,189
E
34 x 34
A1
594 x 841
D
22 x 34
A2
420 x 594
C
17 x 22
A3
297 x 420
B
11 x 17
A4
210 x 297
A
8.50 x 11
A5
148 x 210
-
5.83 x 8.27
A6
105 x 148
-
4.13 x 5.83


กระดาษเขียนแบบขนาด A0 ขนาด 841 x 1189 ม.ม. สามารถแบ่งได้เป็นขนาด A1 จำนวน แผ่น และถ้านำกระดาษ A1 มาแบ่งจะได้กระดาษ A2จำนวน แผ่น  ดังนั้น สามารถแบ่งกระดาษได้จนถึง A6  ดังรูป


ตารางรายการ เป็นตารางบอกรายละเอียดของชิ้นงานแต่ละชิ้นที่ประกอบกันหลายชิ้น เช่น จำนวนที่ใช้ ชื่อชิ้นงาน ขนาดวัสดุ ประเภทของวัสดุที่ใช้ หมายเลขแบบ ผู้เขียน และผู้ตรวจ สามารถจำแนกได้ตามลักษณะการใช้งานในสถานศึกษา หรือสถานประกอบการ   ดังรูป



5. ดินสอเขียนแบบ
เป็นเครื่องมือที่ใช้ขีดเส้นบนกระดาษเขียนแบบ เพื่อแสดงรูปร่างต่างๆ ให้เป็นแบบที่ใช้งาน ดินสอเขียนแบบสามารถแบ่งได้เป็นหลายชนิดคือ

5.1 ดินสอชนิดเปลือกไม้   ดังรูป


5.2 ดินสอชนิดเปลี่ยนไส้ได้ จะเป็นดินสอที่มีโครงด้ามเป็นโลหะ หรือพลาสติก และใส่ไส้ดินสออยู่ข้างใน ดินสอชนิดนี้จะมีการออกแบบมาใช้งานไว้มากมายหลายชนิด  ดังรูป


เกรดใส้ดินสอ แบ่งออกเป็นกลุ่มใหญ่ๆ เกรด คือ
ดินสอที่มีไส้แข็งมาก (Hard)
ดินสอที่มีไส้แข็งปานกลาง (Medium)
ดินสอแบบไส้อ่อน (Soft)
แล้วจึงแบ่งย่อยตามลำดับความแข็งอ่อนของแต่ละกลุ่ม โดยใช้วิธีให้ตัวเลขเป็นตัวกำหนดร่วมกับตัวอักษร ดังนี้
1. ดินสอที่มีไส้แข็งมาก (Hard) มีตั้งแต่ เบอร์ 9H-4H ใช้สำหรับขีดเส้นร่างรูป เส้นที่ใช้เขียนต้องเป็นเส้นบาง เช่น   ร่างรูป เส้นบอกขนาด และเส้นช่วยบอกขนาด  ดังรูป


2. ดินสอที่มีไส้แข็งปานกลาง (Medium) มีตั้งแต่ เบอร์ 3H-B ใช้สำหรับใช้สำหรับงานเขียนแบบงานสำเร็จรูป เช่น เส้นขอบชิ้นงาน เส้นแสดงแนวตัด และสัญลักษณ์แนวเชื่อม ดังรูป



3. ดินสอแบบไส้อ่อน (Soft) มีตั้งแต่ เบอร์ 2B-7B ใช้ในงายศิลปะ วาดภาพ แรเงา ไม่เหมาะที่จะนำมาใช้ในการเขียนแบบ   ดังรูป





6. ปากกาเขียนแบบ
ปากกาเขียนแบบในปัจจุบันนิยมใช้ปากกาเขียนแบบหมึกซึม ขนาดความโตของปากกาเขียนแบบจะมีขนาดเท่าขนาดของเส้นมาตรฐานสากลที่ใช้ในงานเขียนแบบ   ดังรูป




7. อุปกรณ์ทำความสะอาด
แบบงานที่มีคุณภาพนั้น นอกจากเขียนได้ถูกต้อง สมบูรณ์ ได้มาตรฐานแล้วนั้น แบบงานจะต้องสะอาด ดังนั้นอุปกรณ์ทำความสะอาดจึงมีความจำเป็นมาก เช่น
7.1 แปรงปัด เป็นแปรงขนอ่อนใช้สำหรับปัดฝุ่นบนกระดาษเขียนแบบ และปัดเศษยางลบ ดังรูป


7.2 ยางลบ ใช้สำหรับลบงาน มีลักษณะเป็นยางอ่อนซึ่งจะไม่ทำให้กระดาษเป็นขุยหรือเป็นรอย   ดังรูป


7.3 แผ่นกันลบ ทำจากโลหะบางเบา เจาะรูไว้หลายลักษณะ ใช้กันลบตรงบริเวณที่ขีดเส้นผิดพลาด  ดังรูป


  







 ประเภทการเขียนแบบ

งานเขียนแบบ แบ่งออกได้เป็น ๒ ประเภทใหญ่ๆ คือ
     
 ๑. การเขียนแบบทางวิศวกรรม ( Engineering Drawing ) นำเอาไปใช้ในงานเครื่องจักรกลมากกว่าอย่างอื่น การเขียนแบบชนิดนี้แยกออกได้ดังนี้
            ๑.๑ การเขียนแบบเครื่องกล
            ๑.๒ การเขียนแบบงานไฟฟ้าและอุปกรณ์ไฟฟ้า
            ๑.๓ การเขียนแบบเครื่องยนต์
            ๑.๔ การเขียนแบบงานแผนที่และช่างสำรวจ
            ๑.๕ การเขียนแบบงานช่างกลและโลหะแผ่น

     ๒. การเขียนแบบทางสถาปัตยกรรม ( Architectural Drawing ) เป็นการเขียนแบบทางด้านก่อสร้าง แยกงานเขียนแบบชนิดนี้ออกได้ดังต่อไปนี้
๒.๑ การเขียนแบบโครงสร้าง
๒.๒ การเขียนแบบสัดส่วนของรูปต่างๆ
 ๒.๓ การเขียนแบบภาพหวัด






วิธีการเขียนภาพ  2  มิติ


ภาพ  มิติ มีความกว้างกับความยาวไม่มีความหนาเกิดจากเส้นรอบนอกที่แสดงพื้นที่ขอบเขตของรูปต่าง ๆ เช่น รูปวงกลม  รูปสามเหลี่ยม หรือ รูปอิสระที่แสดงเนื้อที่ของผิวที่เป็นระนาบมากกว่าแสดงปริมาตรหรือมวล






http://www.prc.ac.th/newart/webart/element04.html



วิธีการเขียนภาพ 3 มิติ

ภาพสามมิติหมายถึง การเขียนภาพโดยการนำพื้นผิวแต่ละด้านของชิ้นงานมาเขียนประกอบกันเป็นรูปเดียว ทำให้สามารถมองเห็นลักษณะรูปร่าง พื้นผิว ได้ทั้งความกว้าง ความยาว และความหนาของชิ้นงาน ทำให้ภาพสามมิติมีลักษณะคล้ายกับการมองชิ้นงานจริง ภาพสามมิติที่เขียนในงานเขียนแบบมีหลายประเภท แต่ละประเภทก็มีความแตกต่างกันในการวางมุมการเขียน และขนาดของชิ้นงานจริง กับขนาดชิ้นงานในการเขียนแบบซึ่งผู้เขียนแบบต้องศึกษาลักษณะของภาพสามมิติแต่ละประเภทต่างๆ ให้เข้าใจ เพื่อสามารถปฏิบัติการเขียนแบบได้อย่างถูกต้อง

ประเภทของภาพสามมิติ


2.2 ภาพสามมิติแบบ DIMETRIC เป็นภาพสามมิติที่มีลักษณะคล้ายกับภาพถ่ายและง่ายต่อการอ่านแบบ แต่ไม่ค่อยนิยมในการเขียนแบบเพราะเป็นภาพที่เขียนได้ยาก เนื่องจากมุมที่ใช้เขียน เอียง องศา และ 42 องศา และขนาดความหนาของภาพที่เขียนจะลดขนาดลงครึ่งหนึ่งของความหนาจริง  ดังรูป


2.3 ภาพสามมิติแบบ ISOMETRIC เป็นภาพสามมิติที่นิยมเขียนมาก เพราะภาพที่เขียนง่าย เนื่องจากภาพมีมุมเอียง 30 องศา ทั้งสองข้างเท่ากัน และขนาดความยาวของภาพทุกด้านจะมีขนาดเท่าขนาดงานจริง ภาพที่เขียนจะมีขนาดใหญ่มากทำให้เปลืองเนื้อที่กระดาษ   ดังรูป



2.4 ภาพสามมิติแบบOBQIUE เป็นภาพสามมิติที่นิยมเขียนมาก สำหรับงานที่มีรูปร่างเป็นส่วนโค้ง หรือรูกลมเพราะสามารถเขียนได้ง่ายและรวดเร็วเนื่องจากภาพ OBQIUE จะวางภาพด้านหนึ่งอยู่ในแนวระดับ เอียงทำมุมเพียงด้านเดียว โดยเขียนเป็นมุม 45 องศา สามารถเขียนเอียงได้ทั้งด้านซ้ายและขวาความหนาของงานด้านเอียงขนาดลดลงครึ่งหนึ่ง ภาพ OBQIUE มี แบบ คือแบบคาวาเลียร์ (CAVALIER) และแบบคาบิเนต (CABINET)   ดังรูป







ภาพสามมิติแบบ Cavalier

ภาพสามมิติแบบ Cabinet


2.5  ภาพสามมิติแบบPERSPECTIVE  หรือภาพทัศนียภาพ  เป็นภาพสามมิติที่มีมุมในลักษณะการมองไกล โดยจะเขียนภาพเข้าสู่จุดรวมของสายตา การเขียนภาพสามมิติชนิดนี้มีอยู่ด้วยกันหลายชนิด   ดังรูป


แบบ  1  จุด


แบบ  2   จุด




แบบ  3  จุด



3. การเขียนภาพสามมิติ  แกนไอโซเมตริก (ISOMETRIC AXIS) เส้น XO, YO, ZO ทำมุมระหว่างกัน 120 องศา เท่ากันทั้งสามมุม เส้นทั้งสามนี้เรียกว่า แกนไอโซเมตริก ซึ่งแกนไอโซเมตริกนี้สามารถวางได้หลายทิศทาง ขึ้นอยู่กับรูปร่างของชิ้นงานที่ต้องการแสดงรายละเอียด ดังรูป



3.1 การเขียนภาพ ISOMETRIC ทุกภาพจะเริ่มจากการเขียนเส้นร่างจากกล่องสี่เหลี่ยม โดยมีขนาดความกว้าง ความยาว และความสูง ซึ่งจะได้จากการกำหนดขนาดจากภาพฉาย จากนั้น เขียนรายละเอียดส่วนต่างๆ ของชิ้นงาน   ดังรูป

ขั้นที่ 1ขั้นที่ 2ขั้นที่ 3





ลำดับขั้นตอนการเขียนภาพ ISOMETRIC
ขั้นที่ 1 ขีดเส้นร่างแกนหลักทั้งสามแกน
ขั้นที่ 2 เขียนเส้นร่างกล่องสี่เหลียม โดยใช้ขนาด ความกว้าง ยาว และความหนาของชิ้นงาน
ขั้นที่ 3 เขีนเส้นร่างรายละเอียดของภาพด้านหน้า ภาพด้านข้าง และภาพด้านบน ลงบนกล่องสี่เหลียม
ขั้นที่ 4 ขีดเส้นเต็มหนาทับขอบเส้นร่างของ ด้านหน้า ด้านข้าง และด้านบน ของกล่องสี่เหลียม ISOMETRIC



3.2 การเขียนภาพ OBLIQUE ทุกภาพจะเริ่มจากการเขียนเส้นร่างจากกล่องสี่เหลี่ยม โดยมีขนาดความยาว ความยาว และความสูง
เท่ากับขนาดของชิ้นงานจริง ซึ่งจะได้จากการบอกขนาดในภาพฉาย ลากเส้นเอียง 45 องศา จากขอบงานด้านหน้าไปยังด้านหลัง 
โดยให้มีความยาวเท่ากับครึ่งหนึ่งกับความกว้างที่กำหนดให้จากภาพฉายด้านข้าง ลากเส้นร่างเป็นรูปกล่องสี่เหลียม จากนั้น เริ่มเขียนส่วนต่างๆ 
ของชิ้นงาน ลบเส้นที่ไม่ใช้ออก และลงเส้นหนักที่รูปงาน   ดังรูป




          


4.การเขียนวงรีภาพสามมิติ
4.1การเขียนวงรีแบบISOMETRIC ชิ้นงานที่มีลักษณะเป็นทรงกระบอก หรืองานที่มีหน้าตัดกลม เช่น รูปกลม ส่วนโค้ง เมื่อเขียน
เป็นภาพไอโซเมตริกแล้ว หน้าตัดของรูปทรงกระบอกหรือรูกลมนั้นจะเอียงเป็นมุม 30 องศา หรือทำให้มองเห็นเป็นลักษณะวงรี 
ดังรูป 
               

ลักษณะชิ้นงานรูกลม



                 

                 

ลักษณะของรูปวงรี ISOMETRIC

ขั้นตอนการเขียนวงรี ISOMETRIC ด้านหน้า

          
          





ขั้นตอนการเขียน


1. เขียนสี่เหลียมขนมเปียกปูนเอียงทำมุม 30 องศา กับเส้นในแนวระดับ ดังรูปในช่องที่ 1

 2. ลากเส้นแบ่งครึ่งทั้งสี่ด้าน ที่จุด 1-3 และ 2-4 ดังรูปในช่องที่ 2



3. ลากเส้นทะแยงมุมจากจุดไปยังจุดที่ และ ดังรูปในช่องที่ 3



4. ลากเส้นทะแยงมุมจากจุด ไปยังจุดที่ และ จะได้เส้นตัดกันที่จุด และจุด ดังรูปในช่องที่ 4



5. จุด และ จุด เป็นจุดศูนย์กลางของส่วนโค้งเล็ก กางวงเวียนออก รัศมี E-1 เขียนส่วนโค้งวงเล็กจากจุดที่ ไปจุดที่ และใช้รัศมีเท่าเดิม เขียนส่วนโค้งโดยใช้จุด เป็นจุดศูนย์กลาง เขียนส่วนโค้งเล็ก ดังรูปในช่องที่ 5



6. ที่จุด กางวงเวียนรัศมี B-4 เขียนส่วนโค้งวงใหญ่จากจุดที่ ไปจุดที่ และที่จุด เป็นจุดศูนย์กลาง รัศมีเท่าเดิม เขียนส่วนโค้งวงใหญ่ จะได้วงรีของภาพไอโซเมตริก ดังรูปในช่องที่ 6



ขั้นตอนการเขียนวงรี ISOMETRIC ด้านบน

                            
                       


ขั้นตอนการเขียน
1. เขียนสี่เหลียมขนมเปียกปูน เอียงทำมุม 30 องศา กับเส้นในแนวระดับ ดังรูปในช่องที่ 1
2. ลากเส้นแบ่งครึ่งทั้งสี่ด้าน ที่จุด 1-3 และ 2-4 ดังรูปในช่องที่ 2
3. ที่จุด ลากเส้นทะแยงมุมไปยังจุดที่ และ ดังรูปในช่องที่ 3
4. ลากเส้นทะแยงมุมจากจุด ไปยังจุดที่ ไปตัดกับเส้นตรงอีกเส้นหนึ่งที่จุด และลากเส้นจากจุด ไปจุดที่ ไปตัดกับเส้นตรงอีกเส้นหนึ่งที่จุด ดังรูปในช่องที่ 4
5. ที่จุด กางวงเวียน รัศมี E-1 เขียนส่วนโค้งวงเล็กจากจุดที่ ไปจุดที่ และที่จุด จากจุด ไปจุดที่ ดังรูปในช่องที่ 5
6. ที่จุด กางวงเวียนรัศมี A-3 เขียนส่วนโค้งวงใหญ่จากจุดที่ ไปจุดที่ และที่จุด จากจุด ไปจุดที่ จะได้วงรีแบบไอโซเมตริกด้านบน ดังรูปในช่องที่ 




4.2 การเขียนวงรีแบบ OBQIUE


  




การวางภาพออบลิค ภาพด้านหน้าที่เห็นรายละเอียดชัดเจนที่สุดหรืองานที่เป็นรูปทรงกระบอกส่วนโค้ง หรือรูกลม ซึ่งจะทำให้งานเขียนแบบทำได้ง่าย เช่น ข้อต่อ ซึ่งมีวิธีเขียนดังนี้
1. ลากเส้น ABC และเส้น DE เอียง 45 องศา
2. จุด เป็นวงกลมซ้อนกัน วง จุด และ เขียนส่วนโค้ง
3. จุด เขียนวงกลมและส่วนโค้ง
4. จุด เขียนส่วนโค้ง
5. ลากเส้นตรงสัมผัสส่วนโค้ง   ดังรูป 



     
    


http://www.bspwit.ac.th/LINK%20PAGE/Art%20Group/Drawing%20Tech/D-TECH%20UNIT-07.php